เปิดตู้เซฟชมนาฬิกาเรือนหรู จากนักลงทุนแถวหน้าของเมืองไทย มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง
ลงทุนกับนาฬิกาที่ชอบ อีกหนึ่งทางเลือกที่สร้างกำไรและให้ผลตอบแทนคุ้มค่า
การลงทุนในของสะสมไม่ได้เป็นแค่เรื่องรสนิยมหรือความฟุ่มเฟือยเสมอไป หากแต่คือการลงทุนที่สามารถสร้างโอกาสในการทำกำไรให้กับเราได้อีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะนาฬิกาที่ยังคงเป็นตัวเลือกในทางเลือกการลงทุนยอดนิยมตลอดกาล เพราะนาฬิกาหรูถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่า สามารถให้ดอกและผลที่งอกงามได้เป็นอย่างดี ซึ่งนักลงทุนมากประสบการณ์อย่าง ‘มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง’ ก็ไม่พลาดที่จะสะสมนาฬิกาสุดหรู เพราะถือเป็นการลงทุนลงทุนที่คุ้มค่า อีกทั้งยังสร้างกำไรและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากการถือครอง
‘มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง’ กล่าวถึงความน่าสนใจของการลงทุนนาฬิกาว่า “เครื่องประดับติดตัวที่หลายคนขาดไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงคงหนีไม่พ้นนาฬิกา เครื่องมือบอกเวลาที่เรียบง่ายและคลาสสิก เป็นได้ทั้งเครื่องประดับที่สวยงามเวลาสวมใส่ แต่ในอีกด้านก็เป็นของสะสมและการลงทุนได้ด้วย สำหรับคนที่ชื่นชอบและหลงใหลนาฬิกาต้องถามตัวเองก่อนว่าชอบนาฬิกาเพราะอะไร หากชอบเพราะแพชชั่น แค่อยากสะสมเก็บไว้ก็ไม่จำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับแบรนด์ หรือเทรนด์ความต้องการในตลาดเลย เพราะถือว่าเป็นความชอบส่วนตัวของเรา แต่หากมองว่านาฬิกาเป็นเครื่องมือในการลงทุนก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาประวัติความเป็นมา ความนิยม ราคาและความต้องการในตลาดว่า มีแนวโน้มเป็นอย่างไร นาฬิกาหรูระดับไฮเอนด์ราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นเราจึงควรศึกษาข้อมูลให้เป็นอย่างดี ซึ่งหากเราสามารถคาดการณ์แนวโน้มเกี่ยวกับความต้องการนาฬิกาเรือนนั้นได้ ก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้เราได้ 10-15% ในทุกๆปี ก็ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าได้เช่นกัน”
“นาฬิกาหรู” ถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าลงทุนและเป็นที่นิยมไม่น้อยไปกว่าการลงทุนในด้านอื่นๆ แต่การลงทุนนาฬิกาก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่าย ต้องพิจารณาจากข้อมูลและสถิติความต้องการของตลาดในทุกด้าน เพราะไม่ใช่ว่าจะซื้อโดยอ้างแต่ แบรนด์ดังๆ และตลาดต้องการเท่านั้น แต่ต้องอาศัยประสบการณ์และการคาดการณ์ล่วงหน้าด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของตลาดมือหนึ่ง มือสอง ราคาช็อป ราคาขายต่อ รวมถึงการประเมินราคาที่เหมาะสมว่ามีช่องว่างในการทำกำไรได้อีกหรือไม่ อีกทั้งยังต้องวางแผนเรื่องการเงินเพราะสภาพคล่องในการซื้อขายของแต่ละรุ่นก็สูงต่ำแตกต่างกัน และบางครั้งก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่านาฬิกาเรือนนั้นจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ
จากประสบการณ์ด้านการลงทุนที่ผ่านมา แบรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอยากมากในขณะนี้จะมี 4 แบรนด์ด้วยกัน เริ่มด้วยแบรนด์นาฬิกาที่ไม่มีใครไม่รู้จักอย่าง แบรนด์ปาเต็ก ฟิลิปป์ (Patek Phillip) แบรนด์นาฬิกาสวิสสุดหรูที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วม 180 ปี ที่มีความโดดเด่นเรื่องฟังก์ชั่นความซับซ้อนในการบอกหน่วยเวลาต่างๆมากที่สุดในโลก โดยแต่ละเรือนใช้ช่างฝีมือประกอบชิ้นนาฬิกาด้วยมือเท่านั้น พิถีพิถันทุกขั้นตอน จึงทำให้นาฬิกาของ Patek Philippe มีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าทุกปี ทั้งรุ่น Modern และ Vintage ถือได้ว่าเป็นนาฬิกาที่คุ้มค่าต่อการลงทุน โดยรุ่นที่อยากแนะนำให้สะสมจะเป็นรุ่นที่ผู้ชายสวมใส่ เริ่มต้นที่ ปาเต็ก ฟิลิปป์ นอติลุส สตีล บลู (Patek Philippe Nautilus Steel Blue) รุ่น 5711/1A-010 รุ่นนี้ถือว่าเป็นสุดยอดแรร์ไอเท็ม ตัวเรือนผลิตด้วยสแตนเลสสตีล (Stainless Steel) หน้าปัดสีน้ำเงิน นาฬิกาสไตล์สปอร์ตที่ยังคงความคลาสสิก เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมากในหมู่คนดัง และรุ่นนี้ได้ยกเลิกการผลิตไปแล้วเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้ราคาในปัจจุบันพุ่งสูงขึ้นถึง 3,800,000 – 4,000,000 บาท ทั้งๆ ที่ราคาทุนที่ซื้อมาอยู่ที่ประมาณ 981,000 บาท หลังจากที่รุ่นนี้ได้ยกเลิกการผลิตไป ทางแบรนด์ก็ออก ปาเต็ก ฟิลิปป์ นอติลุส สตีล โอลีฟ กรีน (Patek Philippe Nautilus Steel Olive Green) รุ่น 5711/1A-014 มาทดแทน โดยรุ่นนี้จะมีความแตกต่างตรงที่หน้าปัดเป็นสีเขียวโอลีฟ เลยยิ่งทำให้ความต้องการในตลาดสูงขึ้นไปอีก ราคาป้ายอยู่ที่ 1,071,800 บาท ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 14-16 ล้านบาท ต่อมาที่ ปาเต็ก ฟิลิปป์ นอติลุส มูนเฟส (Patek Philippe Nautilus Moonphase) รุ่น 5712/11A-001 ตัวเรือนหนา ดีไซน์หรูหรามีความสปอร์ตผสมอิลิแกนซ์ มี 4 หน้าปัดใน 1 เรือน อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เอาไว้ดูวงโคจรของดวงจันทร์ได้อีกด้วย ราคาที่ซื้อมาเมื่อ 10 ปีที่แล้วอยู่ที่ 1,380,600 บาท ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 3,750,000 – 3,850,000 บาท
ถัดมาที่แบรนด์โอเดอมาร์ส ปิเกต์ (Audemars Piguet) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า AP แบรนด์นาฬิกาชั้นสูงจากสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1875 ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นต่างจากแบรนด์อื่น ด้วยรูปทรงตัวเรือนแปดเหลี่ยมแปลกตา ทำจากสแตนเลสสตีลอย่างรอยัล โอ๊ค (Royal Oak) ถือเป็นไอคอนิกของแบรนด์ที่ผู้คนจดจำได้เป็นอย่างดีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยรุ่นที่อยากแนะนำจะเป็น โอเดอะมาร์ส ปิเกต์ รอยัล โอ๊ค เพอเพชชวล เซ้าท์ อีสต์ เอเชีย (Audemars Piguet Royal Oak perpetual Southeast Asia Ltd) รุ่น 26614OR.ZZ.1220OR.01 เรือนนี้มีความพิเศษตรงที่มีจำนวนน้อย เพราะผลิตออกมาเพียงแค่ 20 เรือนทั่วโลกเท่านั้น จึงเป็นที่หมายปองของนักลงทุนที่สนใจทำให้ราคาสูงถึง 13-14 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ราคาทุนซื้อมาเพียง 5.1 ล้านบาท
ต่อมาที่แบรนด์ที่รู้จักกันดีอย่างแบรนด์โรเล็กซ์ (Rolex) แบรนด์นาฬิกาที่ไม่เคยตกยุคด้วยการผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์เข้าด้วยกัน ทั้งความเที่ยงตรงแม่นยำของการบอกเวลา รวมถึงความทนทานทุกสภาพแวดล้อมจากวัสดุชั้นเลิศ อีกทั้งดีไซน์การออกแบบสุดคลาสสิก ถือเป็นแบรนด์นาฬิกาที่ทุกคนหมายปอง ซึ่ง โรเล็กซ์ (Rolex) เป็นแบรนด์นาฬิกาที่มีสภาพคล่องการซื้อขายในตลาดสูง แต่ในความเป็นจริงก็อาจไม่ได้ซื้อขายง่ายกันทุกรุ่น โดยจะต้องพิจารณาให้ดีถึงกระแสความนิยมในตลาดของผู้สะสมนาฬิกา โดยรุ่นที่นิยมมาก เหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้นลงทุนนาฬิกาลักชัวรี่แบรนด์คงหนีไม่พ้น โรเล็กซ์ ซับมารีน โนเดต (Rolex Submariner No Date) 114060 ไซส์ 41 มม. ถือเป็นรุ่นไอคอนิก โดดเด่นด้านความทนทาน สามารถใส่ดำน้ำลึกได้ และมีระบบความแม่นยำสูง ราคาซื้อมาอยู่ที่ 300,000 บาท ส่วนราคาปัจจุบันอยู่ที่ 350,000 – 380,000 บาท และราคาจะปรับขึ้น 10% ในทุกๆ ปี โดยประมาณ ต่อมาที่ โรเล็กซ์ เดตจัส (Rolex Datejust) 31 หน้าปัดสีเทาเข้ม มีเพชรประดับด้วยทองคำ 18 กะรัต ตัวเรือนผลิตจากวัสดุที่ผสมผสานระว่างออยสเตอร์สตีล (Oystersteel) และทองคำขาวรวมกัน เรียกว่า White Rolesor ราคาซื้อมาอยู่ที่ประมาณ 1.45 ล้านบาท ส่วนราคาปัจจุบันอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท
ปิดท้ายด้วยแบรนด์ริชาร์ด มิลล์ (Richard Mille) หรือ RM แบรนด์น้องใหม่มาแรงที่ก่อตั้งเมื่อปี 2001 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมร.ริชาร์ด มิลล์ ผู้ก่อตั้งมีความชื่นชอบและหลงใหลในสมรรถนะของรถฟอร์มูล่าวัน จึงมุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนานาฬิกาให้สมบูรณ์แบบที่สุด และด้วยการออกแบบที่ความละเอียดสูงในทุกจุดจึงทำให้มีราคาที่ค่อนข้างสูง จนทำให้ติดอันดับนาฬิกาที่มีราคาแพงที่สุดในโลก และในแง่ของการลงทุนแนะนำว่าต้องศึกษาหาข้อมูลเป็นอย่างก่อนการลทุน สำหรับรุ่นที่แนะนำจะเป็น ริชาร์ด มิลล์ โรสโกลด์ เพฟ ไดมอนด์ วอช (Richard Mille Rose Gold Pave Diamond Watch) 11-03 เป็นเรือนที่ซื้อมาเมื่อปลายปี 2020 ราคาออกจากช็อปประมาณ 10 ล้านบาท แต่ราคาปัจจุบันประมาณ 20 ล้านบาท โดยเรือนนี้มีความพิเศษตรงที่มีระบบ Fly-Back สามารถจับเวลาต่อเนื่องได้โดยที่ไม่ต้องกดปุ่มเพื่อหยุดเวลา และ ริชาร์ด มิลล์ (Richard Mille) 11-02 เหมาะสำหรับคนที่ชื่อชอบการท่องเที่ยวเป็นพิเศษ เพราะแผ่นรองฐานทำจากไทเทเนี่ยม (Titanium) grade 5 ซึ่งมีความต้านทานการกัดกร่อนในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ราคาซื้อมาประมาณ 6.3 ล้านบาท ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 7.9 ล้านบาท ถือว่าซื้อขายง่ายมากในช่วงนี้
สำหรับแหล่งซื้อขายนาฬิกา สามารถหาซื้อได้จาก 2 ช่องทางหลัก คือจากช็อปโดยตรง และจากผู้ขายที่นำนาฬิกาจากช็อปมาขายต่อ (Resell) ซึ่งถ้าหากสามารถซื้อจากช็อปโดยตรงก็จะเป็นการดีที่สุด แต่ข้อเสียคือก่อนที่จะได้สิทธิ์ในการซื้อนาฬิการุ่นที่อยากได้นั้น เราก็อาจจะต้องซื้อรุ่นอื่นที่ทางแบรนด์ต้องการขายร่วมด้วยถึงจะได้รุ่นที่เราต้องการ ซึ่งรุ่นที่ร่วมมามักจะเป็นรุ่นที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่ข้อดีของการซื้อจากช็อปก็คือจะได้ในราคาที่ถูกกว่าการซื้อจากการขายต่อแน่นอน เพราะถ้าหากซื้อจากผู้ขายที่นำนาฬิกาจากช็อปมาขายต่อก็มักจะเป็นราคาที่บวกเพิ่ม และราคาก็อาจเปลี่ยนไปตามความต้องการของตลาด ซึ่งผู้ซื้อต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนทุกครั้งก่อนซื้อ และเช็คเครดิตย้อนหลังของผู้ขายอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการถูกหลอก
สามารถรับชมเรื่องราวการลงทุนนาฬิกาลักชัวรี่แบรนด์ เพิ่มเติมได้ทาง https://www.youtube.com/watch?v=_sWHXL66W1A หรือติดตามคอนเทนต์ดีๆ เกี่ยวกับการลงทุนโดยเซเลบริตี้นักลงทุนแบรนด์เนมชื่อดัง ‘มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง’ ได้ทาง Facebook, Instagram และ YouTube ชื่อ The World of Mark Thawin