“สตีล ซิตี้” แรงไม่หยุดภายใต้​ผู้บริหารไฟแรงเจน 2  “เลิศพงษ์ ศรีวงศ์ทอง” 

“สตีล ซิตี้”   แรงไม่หยุดภายใต้​ผู้บริหารไฟแรงเจน 2  “เลิศพงษ์ ศรีวงศ์ทอง” 

“สตีล ซิตี้” ผู้นำด้านการผลิตงานหล่อหลอม เหล็กหล่อ  แรงไม่หยุดภายใต้​ผู้บริหารไฟแรงเจน 2  “เลิศพงษ์ ศรีวงศ์ทอง”  ประกาศเดินหน้าขยายตลาดผู้ผลิตอุปกรณ์ติดตั้งระบบท่อร้อยสายไฟ  ตอกย้ำศักยภาพ ความเป็นอันดับ 1 ของแบรนด์อุปกรณ์ท่อร้อยสายไฟเหล็ก

 

ถึงแม้หลายธุรกิจจะเจอผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในปี 2563 เกือบทุกหมวดหยุดชะงักรวมถึงแนวโน้มการเติบโตตลาดอุตสาหกรรมเหล็ก หากผลประกอบการในชื่อแบรนด์ของคนไทย Steel City (สตีล ซิตี้) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายท่อร้อยและอุปกรณ์ตัวยึดสายไฟเหล็กครบวงจรรวมไปถึงอุปกรณ์บ็อกซ์ไฟฟ้า สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในวงการมาตลอด 3 ทศวรรษ ซึ่งวันนี้ธุรกิจกุมบังเหียนนำทัพโดย เลิศพงษ์ ศรีวงศ์ทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี.อาร์.อินดัสเตรียล จำกัด ผู้บริหารรุ่นที่ 2 ยืนยันขอประกาศความแข็งแกร่งเผยถึงการสานต่อธุรกิจ โดยมีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมเหล็กในช่วงปลายปีนี้ คงมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้แม้ในภาวะช่วงเกิดการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก

หากสินค้าของสตีล ซิตี้คงมีความต้องการสูง ผลจากการที่ประเทศไทยมีการลงทุนในโครงการระบบคมนาคม และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สำหรับกลุ่มสินค้าอุปกรณ์ติดตั้งท่อร้อยสายไฟที่ทำจากเหล็กนั้นสตีล ซิตี้จัดเป็นชื่อแรกๆ ที่โครงการใหญ่ระดับชาติให้การยอมรับด้วยคุณภาพและชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน นอกจากนี้มีกลุ่มลูกค้าในแทบทุกภาคส่วนที่ใช้ไฟฟ้า เช่น กลุ่มภาคโรงงานอุตสาหกรรม โครงการศูนย์การค้า และโครงการที่อยู่อาศัยระดับชั้นนำอีกหลายๆ แห่งล้วนให้ความเชื่อมั่นคุณภาพอุปกรณ์ท่อร้อยสายไฟเหล็กยี่ห้อนี้

เลิศพงษ์ กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อธุรกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน หากการเน้นมาตรฐานคุณภาพสินค้าและบริการไว้ให้ดีที่สุด คือการรักษาสถานะทางการค้าและสัดส่วนของตลาดต่อไปได้อย่างแข็งแกร่ง “ช่วงปีที่ผ่านมาสตีล ซิตี้ คือแบรนด์ชั้นนำในตลาดอุปกรณ์ติดตั้งระบบท่อร้อยสายไฟจากเหล็ก โดยได้อนุมัติให้เป็นผู้ติดตั้งในระบบโครงสร้างขนาดใหญ่ต่างๆ ที่มีมูลค่าการก่อสร้างหลายหมื่นล้านบาท ทั้งโครงการภาครัฐและเอกชน เช่น โครงการโรงผลิตไฟฟ้าทั่วประเทศของ GULF ที่ควบคุมโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และโครงการใหญ่ที่มีการขยายงาน เช่น ปตท, IRPC หรือ ไทยออยล์ ซึ่งนับว่าได้ให้โอกาสเราเติบโตเป็นอย่างดีเสมอมา

ส่วนแนวโน้มธุรกิจเหล็กครึ่งปีหลังของปี 2563 มีการแข่งขันสูงขึ้นอย่างมาก เพราะภาคธุรกิจหลายด้านหยุดชะงักและชะลอตัว โดยเฉพาะโครงการอสังหาริมทรัพย์ล้วนได้รับผลกระทบหนักจากสถานการณ์โรคระบาดที่สร้างผลกระทบต่อเนื่องแบบโดมิโนไปยังธุรกิจอื่นๆ กลุ่มผู้บริโภคล้วนคำนึงถึงการใช้จ่ายที่ต้องรัดกุม และคุ้มค่าที่สุด ในภาวะตลาดที่หดตัวครั้งนี้ ลูกค้ามีความคาดหวังต่อผลิตภัณฑ์และมองหาสินค้าคุณภาพสูงมากขึ้น ทำให้ผู้ผลิตต้องรักษามาตรฐานและคอยพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา”

การแข่งขันธุรกิจที่มีความรุนแรงในเวลานี้ การสร้างศักยภาพผลิตสินค้าคุณภาพดีด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย เน้นเรื่องมาตรฐานสินค้าด้วยราคาสมเหตุผล ปัจจัยเหล่านี้สตีล ซิตี้เน้นสร้างชื่อเสียงเสมอมา สามารถเปรียบเทียบได้ชัดเจนด้วยตัวสินค้ากับแบรนด์อื่นๆ ในมุมมองของผู้ซื้อที่เลือกของไปติดตั้งในโครงการ หรือในบ้านพักอาศัย เลิศพงษ์ กล่าวเน้นเรื่องความปลอดภัย คือ สิ่งที่ผู้บริโภคทุกระดับต้องลงทุนเป็นอันดับแรก

“การสร้างความเชื่อมั่น คือ กลยุทธ์สำคัญที่สุดทางการตลาด สตีล ซิตี้มีทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อสร้าง Brand awareness ให้กับกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ในวงกว้างมากขึ้น เน้นนโยบายให้ความรู้ถ่ายทอดให้แก่กลุ่มผู้ใช้ให้มีเข้าใจในการเลือกใช้ และติดตั้งอุปกรณ์ติดตั้งท่อร้อยสายไฟอย่างถูกต้อง เป็นการยกระดับมาตรฐานวงการติดตั้งระบบท่อร้อยสายไฟของบ้านเราให้เข้าสู่มาตรฐานสากล และจะส่งผลทำให้เราเป็นชื่อแรกที่ลูกค้าจะจดจำเราในฐานะสินค้าที่มีมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์เหล่านี้

และในสถานการณ์โควิด-19 ผมวิเคราะห์สิ่งหนึ่งที่เป็นโอกาสของสตีล ซิตี้ คือ การใช้ชีวิตแบบ New normal ทำให้คนอยู่บ้านกันมากขึ้นเสพสื่อทางอินเตอร์เน็ตตลอดเวลา กอปรกับความต้องการพลังงานไฟฟ้าในประเทศเรานั้นมีความต้องการสูงขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงใช้โอกาสนี้เน้นสร้างการประชาสัมพันธ์และโฆษณาแบรนด์ ให้ความรู้และสร้างความน่าเชื่อถือ ผ่านช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค โดยจัดทำ content ต่างๆ ใน Steel City Thailand บนเฟซบุ๊คและรายการ STEELMAN ของ Steel City Thailand ผ่านช่องยูทูบให้ความรู้และความเข้าใจกับผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ให้มากขึ้น ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีมากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา”

ด้านแนวโน้มตลาด/แผนลงทุนครึ่งปีหลัง เลิศพงษ์ กล่าวว่า สตีล ซิตี้มองหาช่องทางและโอกาสใหม่มีการเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าและสร้างพันธมิตรในด้านต่างๆ เพื่อการพัฒนาสินค้าใหม่ๆในอุตสาหกรรมเหล็ก โดยให้ความสนใจในงานสถาปัตยกรรม ที่เลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เน้นเรื่องความสวยงาม และคงทน ในอนาคตมุ่งพัฒนาผลิตเฟอร์นิเจอร์ หรือของใช้ในบ้านที่ทำจากเหล็กที่ผลิตจากโรงงานของสตีล ซิตี้ ได้อย่างครบวงจร

เลิศพงษ์ กล่าวถึงแผนกระจายสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคให้ง่ายขึ้นเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตัวแทนจำหน่าย และขยายฐานตัวแทนจำหน่ายให้มีมากขึ้น โดยการให้ความรู้ควบคู่กับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ วางแผนเพิ่มกลุ่มฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น การพัฒนาธุรกิจก้าวต่อไป เลิศพงษ์ เผยมีการลงทุนซื้อเครื่องจักรทันสมัยเพื่อช่วยเพิ่มกำลังผลิต มีโรงหลอมโรงฉีดและเครื่องจักรออโต้ที่มีความแม่นยำสูง ช่วยผลผลิตเพิ่มขึ้นหลายเท่าและมีความต่อเนื่องสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่ และในปีนี้มีแผนที่จะเพิ่มขนาดเตาให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับปริมาณความต้องการของตลาดที่มากขึ้น ซึ่งหากดูจากปริมาณการสั่งซื้อในแต่ละปีนั้น สินค้าประเภทนี้มีการเติบโตอยู่เรื่อยๆ ทุกปี เนื่องจากการลงทุนก่อสร้างในโครงการต่างๆ ภายในประเทศมีเพิ่มขึ้นและต่อเนื่อง

“ในอนาคต สตีล ซิตี้ จะเป็นผู้ผลิตงานเหล็กหลอม งานฉีด ออกแบบพิมพ์ ที่สามารถทำงานได้หลากหลายประเภท และเปลี่ยนวัสดุที่เป็นเหล็กเป็นสินค้าแปรรูปอื่นๆ ที่สามารถนำไปใช้ร่วมในชีวิตประจำวันของกลุ่มคนทั่วไปได้ ดังนั้น การลงทุนในเครื่องจักรและเทคโนโลยีต่างๆ ในแต่ละแผนกเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต เราจึงไม่ได้หยุดพัฒนาตัวเองเพียงแค่สินค้าประเภทใดประเภทหนึ่ง หรืองานชนิดใดชนิดหนึ่ง หากแต่มีช่องทางหรือโอกาสให้เราได้แตกแขนงสายงานของเราให้ได้มากที่สุด ผมจึงมองว่านี่เป็นโอกาสในอนาคตที่เราสามารถสร้างมูลค่าจากการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ได้อย่างมหาศาล”

อุตสาหกรรมเหล็กของประเทศนั้นมีความสำคัญและมีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก เลิศพงษ์ กล่าวย้ำสรุปนี่คือการดำเนินธุรกิจโดยมีเป้าหมายหลักของการสร้างโครงสร้างธุรกิจให้ยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับท่อร้อยสายไฟเหล็กที่ผู้บริโภคเลือกเป็นอันดับแรกในไทย โดยตั้งเป้าสร้างรายได้ 50% มีมูลค่าประมาณ 450 ล้านบาท เป็นอย่างน้อยจากการลงทุนกว่า 250 (ล้านบาท) ในปีนี้